วันศุกร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2555

การเดินทาง เพื่อความดี ตอนที่ ๓


ทำสิ่งที่ควรทำ เว้นสิ่งที่ควรเว้น

การเดินทางร่วมกับทีมงานแพทย์อาสา สู่บ้านแม่ลายใต้ อ.ฮอด จ.เชียงใหม่


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


ลังจากแวะสักการะพระธาตุหริภุญชัย จ.ลำพูน กันแล้ว ก็เดินทางต่อ จนถึงตัวเมืองเชียงใหม่ช่วงเย็น เชียงใหม่วันนี้ต่างจากวันวานที่เคยมาเมื่อปี 2541 อย่างมาก ถนนเลี่ยงเมืองที่เป็นวงแหวน ก็มีอุโมงลอดทุกแยก ทำให้การเดินทางสะดวกขึ้น ถ้าจะเข้าในตัวเมืองจริง ๆ ก็ติดขัดเหมือนกรุงเทพฯไงงั้น




     ถึงบ้านพี่เฟีย เพื่อนพี่สาวของป้าหมอแต๋ม ก็เกือบห้าโมงเย็น บนเนื้อที่เกิน 1 ไร่ บ้านสงบร่มเย็น อบอวลด้วยมวลไม้ดอกนานาชนิด แข่งกันส่งกลิ่นหอมยั่วยวลใจ 
     
     ได้แนะนำตัวทีมงานกับสมาชิกบ้านพี่เฟียกันถ้วนหน้าแล้วก็เข้าที่พัก ซึ่งเป็นโรงแรมที่อยู่ไม่ไกลจากที่นี่เกิน 100 เมตรนิดหน่อยก็ถึงแล้ว












โรงแรม B2 Black (สาขา) ดูสะอาดสะอ้านน่าพัก ด้านหน้าติดคลองชลประทาน ด้านหลังมองเห็นดอยสุเทพได้ชัดเจน  


     โรงแรมนี้เป็นการออกแบบที่ค่อนข้างแนวสมัยใหม่ ใช้โทนสีดำ เทา ดูเคร่งขรึม ผนัง เพดาน ก็ใช้เป็นปูนซิเมนต์ขัดมัน เก๋ไก๋ไปอีกแบบ เพิ่งเปิดได้ประมาณ 3 เดือน ดูหลาย ๆ อย่างก็ยังใหม่อยู่










มุมมองจากชั้น 8  ซึ่งเป็นห้องมุม เห็นทั้งสองด้าน เป็นคลองชลประทานที่อยู่รอบนอกเมืองเชียงใหม่ ด้านซ้ายมือไปทางสนามกีฬา 700 ปี ส่วนด้านขวาไปทางตัวเมือง และทางแยกไปดอยสุเทพ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่




บรรยากาศประตูท่าแพยามค่ำคืน คราคร่ำไปด้วยผู้คน
ซึ่งตอนแรกตั้งใจว่าจะไปเดินเป็นพญาน้อยชมกาด(ตลาด)ซะหน่อย
ให้สาว ๆ เค้าลงไปดูกันก่อน แต่พอวนหาที่จอดรถไม่ได้ก็เปลี่ยนแผนใหม่
เป็นรับสาว ๆ แล้วข้ามแม่น้ำปิงที่สะพานนวรัฐไปหาอาหารอร่อย ๆ ทานกันดีกว่า



     สะพานนวรัฐ มีประวัติระบุว่าเป็นสะพานไม้ข้ามแม่น้ำปิงสะพานที่สอง สะพานแรก คือ สะพานไม้ที่ข้ามระหว่าง ตลาดต้นลำไย  กับ วัดเกตุการาม ดังเมื่อปี พ.ศ. 2440 เมื่อนายปิแอร์ โอร์ต นักกฎหมายชาวเบลเยียมเดินทางมาเมืองเชียงใหม่และบันทึกเกี่ยวกับสะพานข้ามแม่น้ำปิงว่า "…เชียงใหม่ไม่ใช่เมืองเก่าแก่มากนัก (เมื่อเทียบกับเมืองในยุโรป) แบ่งออกเป็น 2 เขต แต่ละเขตมีกำแพงสูงราว 3-4 เมตร และมีป้อมสูงที่แต่ละมุมกำแพง ตัวเมืองตั้งอยู่บนฝั่งขวาของแม่น้ำ ส่วนบนฝั่งซ้ายก็มีอาคารสำคัญๆ ตั้งอยู่ มีสะพานไม่สวยงามทอดเชื่อมระหว่างสองฝั่งแม่น้ำ สะพานนี้มีเสา 14 ต้น ระหว่างที่ข้าพเจ้าพำนักอยู่ในเชียงใหม่สะพานนี้โยกคลอนเนื่องจากถูกท่อนไม้ซุงที่มากับกระแสน้ำดัน"
     สะพานนี้เป็นสะพานข้ามแม่น้ำปิงที่เชียงใหม่แห่งแรกทำด้วยไม้สัก สร้างโดยนายชี้กหรือหมอชี้ก ราวปี พ.ศ. 2433 ใช้การต่อมาหลายสิบปีจนพังลงเมื่อปี พ.ศ. 2475 หมอชี้กผู้นี้มีประวัติน่าสนใจไม่ใช่น้อย จากนักสอนศาสนาที่มีอุดมการณ์มุ่งมั่นกลับกลายเป็นนักธุรกิจค้าไม้สักที่มุ่งด้านผลกำไรเป็นหลัก ต่อมามีประวัติในด้านการสร้างฮาเร็มในเมืองเชียงใหม่อีกด้วย
     ส่วนสะพานนวรัฐนั้นคงสร้างหลังปี พ.ศ. 2433 ชื่อ "นวรัฐ" ตั้งเพื่อเป็นเกียรติแก่เจ้าแก้วนวรัฐ เจ้าหลวงเชียงใหม่องค์สุดท้าย
     สมัยที่พระยาอนุบาลพายัพกิจได้รับแต่งตั้งไปรับตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน ระหว่างทางต้องมาพักเตรียมตัวเดินทางในเมืองเชียงใหม่ได้บันทึกเกี่ยวกับสะพานนวรัฐ สะพานแห่งที่สองไว้ว่า "สะพานนวรัฐที่สร้างด้วยไม้นี้ ต่อมาได้เกิดเพลิงไหม้สะพาน ทางราชการจึงสร้างสะพานเหล็กลำลองพอให้รถวิ่งข้าไปมาได้ เมื่อรถไฟมาถึงเชียงใหม่ในปี พ.ศ. 2464 จึงมีการรื้อสะพานไม้เดิมแล้วสร้างสะพานเหล็กขึ้นแทน"

     สะพานเหล็กแห่งนี้ใช้มาจนถึงปี พ.ศ. 2510 จึงรื้อสะพานเหล็กและสร้างเป็นสะพานอนกรีตเสริมเหล็กใช้เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน 





     บรรยากาศริมแม่น้ำปิงที่เย็นสบาย เราทิ้งประตูท่าแพไว้เบื้องหลัง ไม่แยแสแม้แต่น้อย เพราะหากเรายังดึงดันที่จะเดินกันต่อ คงต้องไหลตามคลื่นมหาชนที่มาร่วมงานถนนคนเดินวันอาทิตย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตรงกับวันคริสต์มาสด้วย พี่น้องชาวคริสต์ก็กำลังเฉลิมฉลองกันมากมาย รวมถึงชาวอื่น ๆ ก็ร่วมแสดงความยินดีด้วยเช่นกัน

  ที่น่าประทับใจคือปลานิลตัวใหญ่ที่ย่างอย่างประณีตบรรจง จนเราทานอย่างอื่นกันหมดแล้ว ตั้งท่าว่าจะกลับที่พักแล้วแหละ ถึงได้มาให้ยลโฉมกัน   ก็ไม่ผิดหวัง สมกับที่รอคอย อร่อย เนื้อนุ่ม เหมาะสำหรับคน 6 คนเป็นอย่างยิ่ง ใช้เวลานิดหน่อยก็เหลือแต่ก้างกับหนังให้น้ำลายสอกันต่อ

     จบไปอีกมื้อหนึ่งของการเดินทาง


     เช้าวันที่ 26 ธ.ค.54 ท่ามกลางอากาศที่เย็นสบายเราตื่นกันแต่เช้า ออกมาร่ำลาหน้าโรงแรมที่พัก แล้วก็แวะไปรับอาหารเช้าที่บ้านพี่เฟีย ซึ่งงานนี้เจ้าภาพจัดเต็มสำหรับคนใต้(กทม.) โดยเฉพาะ

ไม่ว่าจะเป็น ไส้อั่ว แหนม น้ำพริกหนุ่ม ผัก งา น้ำพริกอ่อง ข้าวเหนียวขาว และข้าวเหนียวดำ มีให้เลือกตามอัธยาศัย ตบท้ายด้วยกาแฟร้อน ๆ และปาท่องโก๋ตัวยาวเป็นศอก อิ่มหนำสำราญกันถ้วนหน้า


     ที่พี่เฟียห่วงมากคือคนขับรถ ย้ำแล้วย้ำอีกว่าห้ามกินข้าวเหนียวเยอะ เดี๋ยวง่วง จะขับรถไม่ได้ ระหว่างทางขึ้นดอยคดเคี้ยวเต็มไปด้วยหุบเหว


    แต่พี่เฟียไม่รู้อยู่อย่างหนึ่ง คือ ภูมิต้านทานเรื่องข้าวเหนียวของเราดีมาก 5555


จบตอนที่ 3 ด้วยดอกไม้แสนสวยที่บ้านพี่เฟีย






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น